เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ความล้มเหลวผิดพลาด การเจ็บป่วย การเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้คงไม่มีใครชอบ เช่นเดียวกับผมซึ่งเคยได้ผ่านมันมาแล้วเช่นกัน และสิ่งนี้เองคือจุดพลิกผันของประสบการณ์ใหม่ กับการมองเห็นชีวิต เมื่อได้เข้าสู่เส้นทางนักพยากรณ์อาชีพ คือการได้มีมิตรสหาย การได้พบเจอผู้คนมากมายผู้มีทุกข์ต่างกันไปตามวาระชะตากรรม คือประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ซึงถือเป็น *รางวัลของชีวิต* ที่สำคัญ-ของผม ที่ได้ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เขาเหล่านั้น จากวิชาโหราศสตร์ ผมมิใช่กูรูทางโหราศาสตร์ เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่่เคยล้มป่วยจนเฉียดความตายมาแล้ว แต่จะด้วยลิขิต หรือสิ่งที่เรียกว่าดวงชะตาก็ตาม ได้นำพามาสู่เส้นทางนักพยากรณ์ และด้วยความมีใจรักในศาสตร์นี้มาก่อน จึงพอจะมีสัมผัสและวิชาความรู้อันเล็กน้อย ที่ครูอาจารย์ ประสิทธิ์ประสาทติดตัวมาให้อยู่บ้าง หซึ่งหากพอจะใช้วิชาช่วยเหลือแก้ไข ชี้แนะแบ่งเบาให้ผู้มาปรึกษาได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ก้อพอใจแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่มาไลด์เพจให้ แวะเยี่ยมชมบลอคของผมครับ หมอเอส คนค้นดวง
โหราศาสตร์ใช้ดาวพยากรณ์ชีวิตคน
ฉะนั้นดาวคือคน และคนคือดาว
ชีวิตของคนก็คือชีวิตของดวงดาว


4 ม.ค. 2559

ดวงขอทานวณิพก



นายเดชผู้นี้มีชะตาชีวิตที่น่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้อื่น เนื่องจากเขาประกอบอาชีพเร่ร่อนขอทานเลี้ยงดูพ่อแม่ ลูกเมีย ทางบ้านมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความเต็มใจและตั้งใจที่จะยึดอาชีพนี้ จนสามารถสร้างฐานะให้กับพ่อแม่ และตนเองได้อย่างมั่นคง มีฐานะอยู่ในขั้นเศรษฐีมีอันจะกินคนหนึ่งในละแวกนั้น

ที่สำคัญก็คือ เขาเป็นผู้ที่เก็บงำความลับได้อย่างยอดเยี่ยมมาก เวลาที่ออกไปเร่ร่อนขอทานนั้น เขาไปคนเดียว ไม่มีใครในละแวกนั้นล่วงรู้ แม้กระทั่งพ่อแม่ลูกเมียก็ไม่รู้ ว่าเขายึดอาชีพนี้ เพราะเขาออกไปหากินไกล ๆ สัปดาห์หนึ่ง หรือเดือนหนึ่ง ถึงกลับมาบ้านพร้อมกับเงินทองมากมาย ก่อนไปก็บอกลูกเมียว่า

ไปทำมาค้าขายกับเพื่อน ทำอย่างนี้เรื่อยมา ไม่เคยคิดจะไปทำมาหากินอย่างอื่น จนแก่เฒ่า เดินทางไม่ไหวแล้วนั่นแหละ ถึงได้หยุด ลองมาฟังเรื่องราวของเขาโดยย่อกันก่อน ที่จะเข้าสู่บทวิจารณ์ดวงชะตาต่อไป

พื้นเพ นายเดชนั้นเป็นลูกชาวสวนย่าน เมืองนนท์ ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีนัก เพราะมีพี่น้องร่วมท้องถึง ๖ คน เขาเป็นคนที่ ๓ พออายุได้ ๖ ขวบ พ่อแม่ก็ฝากให้ไปเรียนหนังสืออยู่กับพระอาจารย์ที่วัดใกล้บ้าน เพียงปีเดียวเท่านั้น เขาก็สามารถอ่านออกเขียนได้

อย่างคล่อง แคล่ว เพราะมีสมองและสติปัญญาดี จดจำอะไรต่อมิอะไรได้ง่าย ครั้งเดียวไม่เคยลืม อุปนิสัยเป็นคนที่รักเสียงเพลง ชอบในการร้องรำดีดสีตีเป่า เวลามีคนมาขอทานแถวหมู่บ้าน ก็จะพาพวกเพื่อน ๆ ตามไปดูเขาร้องเพลงตีฉิ่งฉับและกลอง อยู่เสมอ จนกระทั่งเขาจำเพลงขอทาน ที่ร้องเพลงไทยเดิม เป็นจังหวะทำนองเล่านิทานเก่า ๆ เรื่องของโบราณต่าง ๆ เช่น เรื่องรัตนวงศ์ จันทโครพ สุวรรณสาม และเพลงอื่น ๆ อีก ด้วยความกล้า และความสนุกร่าเริงของเขา ทำให้เขาร้องเพลงเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี มักจะร้องเพลงขับกล่อมด้วยความเพลินใจอยู่เสมอ บางครั้งก็ชอบร้องเพลงให้พระเณรในวัดฟัง และก็ร้องได้ดีมีความไพเราะจับใจจริง ๆ

พออายุได้ ๙ ขวบ พระอาจารย์ได้พาเขาและเณรองค์หนึ่งออกไปธุดงค์ เดินเท้ารอนแรมเรื่อยไปจนถึงพระพุทธบาท สระบุรี ถึงหน้าเทศกาลพอดี พระอาจารย์จึงเข้าไปปักกลดในบริเวณวัด และปฏิบัติศาสนกิจตามแบบพระธุดงค์ทั่วไป

จากนั้นจึงเข้าไป นมัสการพระพุทธบาท ก่อนไปได้กำชับให้นายเดชและเณรเฝ้ากลดให้ดี อย่าไปไหน ขณะนั้นเวลา ๑๗.๐๐ น. นายเดชได้หลบหนีไปเที่ยวชมมหรสพในงานวัด แล้วเดินเตร่ไปจนทั่ว เห็นขอทานนั่งร้องเพลงบ้าง เป่าขลุ่ยสีซอบ้าง

ขอ ทานกันเป็นแถวยาวเหยียด นายเดชนึกสนุกขึ้นมา เนื่องจากตนร้องเพลงขอทานได้ จึงได้นั่งต่อแถวอยู่ห่าง ๆ ร้องเพลงขอทาน เอากระป๋องตั้ง เคาะด้วยไม้เป็นจังหวะตามเสียงเพลง ผู้คนก็ได้มามุงดูเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเขาร้องเพลงได้ดี มีน้ำเสียงไพเราะ เป็นที่ถูกใจผู้ฟังอย่างยิ่ง

นาย เดชร้องเพลงหน้าตาเฉย ไม่สะทกสะท้านเกิดความประหม่าแต่อย่างใด คนที่ยืนฟังก็ให้เงินหยอดใส่ในกระป๋องคนละเล็กคนละน้อย เพื่อเป็นค่าตอบแทน รวมแล้วได้เงินเป็นจำนวนมาก เพราะเทศกาลงานประจำปีของวัดพุทธบาทนี้ มีคนจากทั่วสารทิศพากันมาบำเพ็ญบุญกุศลอย่างมากมาย

พระ อาจารย์เที่ยวตามหา ๒ – ๓ วัน ก็ไม่พบ จนอ่อนใจไม่รู้จะไปตามหาที่ไหนอีก เพราะผู้คนมากมายเหลือเกิน ต่อมาวันที่ ๔ พระอาจารย์ได้ไปพบโดยบังเอิญ เห็นนายเดชนั่งร้องเพลงขอทานอยู่ จึงเข้าไปเรียกตัวพากลับ นายเดชได้รวบรวมเงินที่ได้จากขอทานจำนวนมากมาย พระอาจารย์คิดว่า ถ้าขืนอยู่ต่อไป เด็กคนนี้จะหนีออกไปขอทานอีก และจะตามหาตัวไม่พบ จะต้องเกิดการพลัดพรากจากกันแน่ เกรงว่าพ่อแม่ทางบ้านจะตำหนิตน หาว่าพาลูกเขามาปล่อยทิ้ง เมื่อเห็นท่าไม่ดีดังนั้นแล้ว จึงได้พานายเดชเดินทางกลับวัดในทันที

นับแต่นั้นเป็นต้นมา นายเดชมีความใฝ่ฝันทะเยอทะยาน อยากยึดอาชีพขอทาน ไม่คิดอยากเรียนหนังสืออีกต่อไป เขาคิดว่าอาชีพขอทานรายได้ดี ไม่ต้องลงทุน ร้องเพลงด้วยความสนุกสนานให้ผู้อื่นฟังก็ได้เงิน ดังนั้น เขาจึงชอบหนี

โรงเรียน เข้าไปขอทานในกรุงเทพ ฯ บ่อย ๆ โดยมีฉิ่งและย่ามคู่ชีพติดตัวไปด้วย หลาย ๆ วัน จะกลับมาบ้านสักครั้งหนึ่ง พ่อแม่ พระเณร และครู ได้อบรมสั่งสอนให้เขาเป็นคนดี ไม่หนีโรงเรียน ให้เอาใจใส่ในการเรียน เขาก็หาเชื่อฟังไม่ ในที่สุดก็กลายเป็นเด็กเอกเทศ ไม่มีใครอบรมได้ ถูกไล่ออกจากโรงเรียน พระอาจารย์ก็ไล่

ออกจากวัด แต่เรื่องการขอทานเขาปิดเป็นความลับ ไม่ให้คนแถวบ้านเดียวกันล่วงรู้พฤติการณ์ของเขาได้ แม้แต่พ่อแม่ก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเขาดำรงตนเป็นคนขอทานเลย ถึงแม้เขาจะไม่เอาใจใส่ในการเรียน แต่เขาก็มีกตัญญูต่อบุพการี ขอทานได้เงิน

มาเหลือจากกินและ ใช้จ่ายอย่างอื่น เขาเอามามอบให้พ่อแม่ของเขาหมด พ่อแม่ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเอาเงินมาจากไหน เพราะเขาไม่ยอมบอก ขณะนั้นเขาอายุ ๑๓ ปี นับว่าเขาเป็นเด็กฉลาด และไหวพริบดีทีเดียว

นาย เดชได้กลายเป็นคนพเนจรเที่ยวเร่ ร่อนขอทานไปตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย นาน ๆ จะกลับมาบ้าน เอาเงินมาให้พ่อแม่เขา ดำรงตนภิกขาจารเรื่อยมาจนอายุได้ ๑๙ ปี เขาก็ได้มาอยู่บ้าน ช่วยพ่อแม่ทำสวน เขาเป็นคนประหยัด เก็บหอมรอมริบเงินที่ได้จากการขอทานเป็นจำนวนมาก จึงได้ปลูกบ้านขยายให้ใหญ่โตขึ้น เขาเป็นผู้ผดุงฐานะพ่อแม่จากยากจน เข้าสู่ฐานะมีอันจะกิน

ครั้นอายุ ๒๐ ปี เขาก็ได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวสวนข้างบ้าน อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันด้วยดีเสมอมา แม้แต่งงานแล้ว เขาก็ยังยึดอาชีพขอทานเช่นเดิม เมื่อเขาจะออกจากบ้านไปขอทานในถิ่นไกล ๆ แถวต่างจังหวัด เขาจะบอกกับภรรยาว่า ไปค้าขายกับเพื่อน ๆ เมื่อออกจากบ้านแล้ว เขาจะเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่ แบบคนขอทานทั่วไป แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ แสดงกิริยามารยาท ทำตนให้คนเกิดเมตตาสงสาร

ร้อง เพลงขอทานด้วยความไพเราะ เป็นที่จับใจแก่ผู้ฟังเป็นอย่างมาก และคู่มือหากินของเขาที่นำไปด้วยก็คือ ซอด้วง เขาชักซอด้วยเพลงไทยเดิมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี มีกลเม็ดเด็ดพรายชักตามจังหวะของเพลงด้วยความไพเราะ ผู้คนทั่วไปได้ยินเสียงแล้ว จะต้องพากันเข้าไปมุงดูเขาชักซอและร้องเพลงสลับกัน มีคนให้ทานเขาวันละมาก ๆ

เขา ยึดอาชีพขอทานตลอดมา เขาเที่ยวไปทุกจังหวัดในประเทศไทย ยิ่งมีงานเทศกาลที่ไหน ที่เป็นงานใหญ่โตมโหฬาร เขาจะไม่พลาดโอกาสเลยสักครั้ง เขาหาเลี้ยงครอบครัว ด้วยการเป็นขอทานมานานกว่า ๑๕ ปี มีบุตรร่วมกับภรรยา ๖ คน

บุตร ทุกคนให้การศึกษาเป็นอย่างดี ครอบครัวเขามีความสุขสบาย ไม่เดือดร้อน ขณะที่เรื่องราวของเขาถูกเผยแพร่ เขาก็ยังยึดอาชีพขอทานอยู่ (พ.ศ.๒๕๑๕) และเชื่อว่า เขาคงจะหากินด้วยอาชีพนี้ จนกว่าจะไม่มีแรงเดินทางน่ะแหละ เราลองมาพิจารณาดวงชะตาเขาสักหน่อย ถือว่า เป็นดวงพิสดารไม่น้อยเลย

เครดิต:เรื่องเล่าจากคุณ : ทวนทอง




นายเดช วงษ์ก้อน สูติกาล ๗ ตุลาคม ๒๔๘๑ เวลา ๑๘.๓๐ น.
วันศุกร์ขึ้น13ค่ำ เดือน11 ปี ปีขาล

 จุดแรกคือลัคนา ดาวเจ้าเรือนคือพระศุกร์และเป็นดาวตนุเศษอีกด้วย
 นายเดชมีใจรักในรักชอบในศิลปะดนตรี และกล้าแสดงออกสนุกสนานเพราะมีราหูกุมลัคน์เป็นราชาโชค(เสน่มหานิยม)  แม้นว่าดาวศุกร์ตนุลัคน์มีมาตรฐานเป็นประ
 แม้ชีวิตไม่ค่อยมั่นคงนักในวัยต้น แต่ดาวตนุมาสถิตเรือนคู่มิตรพระอังคารในภพกดุมภะ จึงได้รับการอุปถมป์อุ้มชู ดังตามประวัติที่ได้ไปอยูกับพระอาจารย์ในวัยเยาว์ คือดาวพฤหัสที่ตรีดกณมาถึงราหูที่ลัคนา ซึ่งมุมตรีโกณจากภพปุตตะมาภพตนุที่ลัคนาเกื้อกูล

และการที่นายเดชในวัยเยาไม่สามารถอยู่ติดบ้านเป็นหลักแหล่งได้ ก็ด้วยเจ้าเรือนพันธุ(พระเสาร์)
มาสถิตภพอริร่วมพระเกตุ อยู่แล้วร้อนวุ่นวายอยู่ไม่ติดที่ แต่ก็ยังตรีโกณมาถึงดาวตนุศุกร์ คือยังมีการติดต่อเกื้อกูลกันอยู่ แต่ตนเองเป็นดาวประ จึงม่อยู่บ้าน แต่ก้อเกื้อกูลถึงครอบครัวอยู่


ส่วนเรื่องงานนั้น เจ้าเือนกรรมะ(งาน)คือดาวจันทร์เกี่ยวกับการบริการ ความเมตตาสงสาร มาสถิตภพปุตตะในเรือนราหู คือการขอนั่นเอง ดยอาศัยดาวราหูที่เป็นราชาโชคจึงก้าวหน้าในอาชีพวณิพกนี้

และที่ว่าเสียงดีขับร้องน่าฟัง เพราะดาวพุธเทพแห่งการสื่อสารเจรจาขับร้องได้มาตรฐานมหาอุจจ์กุมร่วมดาวอาทิตย์มรภพวินาสน์ จึงมีแก้วเสียงที่ลุ่มลึกไม่เหมือนใคร และดาวพุธยังเป็นเจ้าเรือนศุภะ จึงสามารถใช้สิ่งนี้สร้างความเจริญแก่ตนได้



ก็นำมาวิเคราะพิจารณากันพอสังเขปเนื่องจากเป็นดวงท่านน่าสนใจ

ขอบคุณที่ติดตามคับ
หมอเอส คนค้นดวง.
ขอบคุณคลิปเพลงขอทานประกอบจากyoutue




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น